คิดว่าการเรียนรู้แต่เพียงที่บ้านนั้นยังไม่เพียงพอ โรงเรียนเลยเป็นสถานที่สำคัญที่ต้องให้ลูกเผชิญ ไปโรงเรียนได้อาทิตย์แรก คุณครูก็เรียกพบเพราะอยากพูดคุยถึงความกังวลที่คิดว่าน่าจะมีอะไรผิดปกติกับลูกของเรา และแน่นอนว่าฉันปฏิเสธความกังวลของพวกเขาไปด้วยเหตุผลหลายประการ แต่ในขณะเดียวกันก็เริ่มศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับความผิดปกติในรูปแบบต่างๆของวัยนี้ พบได้ว่าบางสิ่งบางอย่างมันตรงกับลูกของเราไม่มากก็น้อย และอาการเหล่านี้ก็เริ่มมากขึ้น ถึงกับไม่สามารถขวบคุมได้ บอกกับลูกว่ามานั่งอ่านหนังสือกัน เขานั่งได้ประมาณ10วินาที ก็กระโดดตัวขึ้นวิ่งไปมา พอมีการบังคับให้นั่งลง เขาก็มีอาการต่อต้านโดยกรี้ด ร้อง โขกหัวลงพื้น ยังงัยก็ไม่ยอมกันเลยทีเดียว
ผ่านปีการศึกษาชั้นเด็กเล็ก มาถึงชั้นเตรียมอนุบาล เพียงแค่เดือนเดียวครูก็เรียกพบ คราวนี้ให้เหตุผลที่ว่าเขารบกวนการเรียนของเด็กคนอื่น ความรู้สึกของฉันลึกๆในครั้งนี้เริ่มที่จะยอมรับได้ แต่คำพูดที่กล่าวออกไปกับครูที่นั่นแสดงถึงความไม่ยอมรับในสิ่งที่เขากล่าวหา เพราะอะไรหนะหรือ อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยให้เกียรติฉันกับครอบครัวเสียเท่าไร ฉันจึงตัดสินใจเอาลูกออกจากโรงเรียนนี้ แต่ก่อนออกฉันเข้าไปทวงเงินค่าเทอมลูกคืน หึหึ ด้วยความไม่พอใจที่เขาไม่ให้เกียรติเรา ทางโรงเรียนบอกว่าให้คืนไม่ได้ฉันเป็นคนเอาลูกออกเอง ฉันจึงบอกเขาว่า แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ในเมื่อคุณบอกว่า ทางโรงเรียนไม่สามารถรับลูกฉันเรียนที่โรงเรียนนี้ได้ ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดไปนั้นไม่ถูกต้อง จึงให้เงินคืนในส่วนหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน การยอมรับของฉันช่วยผลักดันตัวฉันเองให้ค้นคว้าหาแบบการเรียนการสอนที่เฉพาะเจาะจงเพื่อเด็กพิเศษ แล้วก็ได้เจอระบบการสอนแบบตัวต่อตัว ฉันฝึกฝนวิธีการสอนในตอนดึก เช้ามาก็เริ่มสอนลูก การเลือกหัวข้อที่จะนำมาสอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี ฉันต้องนั่งนิ่งๆปิดตาแล้วนึกภาพลูกมองว่าเขากำลังทำอะไร แล้วนึกอีกทีในสภาวะเดียวกันแต่จริงๆแล้วฉันอยากให้ลูกทำอะไร พอนึกได้แล้วฉันก็จดใส่กระดาษ แล้วนั่งวิเคราะห์ว่าจุดไหนควรจะเริ่มเป็นอย่างแรกแล้วอะไรถัดมา เป็นลำดับๆไป พูดได้เลยว่าต้องใช้ความใจเย็นอย่างสูง ใครก็ตามที่กำลังอ่านบทความนี้และตกอยู่ในสภาวะที่คล้ายคลืงกันกับกรณีของฉัน ฉันขอเป็นกำลังใจให้อย่างที่สุด ยากลำบากอย่างไรเราจะเดินไปด้วยกันตั้งแต่ต้นจนจบ
ติดตามเรื่องราวในปัจจุบันและรับข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ที่ Facebook
ผ่านปีการศึกษาชั้นเด็กเล็ก มาถึงชั้นเตรียมอนุบาล เพียงแค่เดือนเดียวครูก็เรียกพบ คราวนี้ให้เหตุผลที่ว่าเขารบกวนการเรียนของเด็กคนอื่น ความรู้สึกของฉันลึกๆในครั้งนี้เริ่มที่จะยอมรับได้ แต่คำพูดที่กล่าวออกไปกับครูที่นั่นแสดงถึงความไม่ยอมรับในสิ่งที่เขากล่าวหา เพราะอะไรหนะหรือ อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาไม่ค่อยให้เกียรติฉันกับครอบครัวเสียเท่าไร ฉันจึงตัดสินใจเอาลูกออกจากโรงเรียนนี้ แต่ก่อนออกฉันเข้าไปทวงเงินค่าเทอมลูกคืน หึหึ ด้วยความไม่พอใจที่เขาไม่ให้เกียรติเรา ทางโรงเรียนบอกว่าให้คืนไม่ได้ฉันเป็นคนเอาลูกออกเอง ฉันจึงบอกเขาว่า แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ในเมื่อคุณบอกว่า ทางโรงเรียนไม่สามารถรับลูกฉันเรียนที่โรงเรียนนี้ได้ ในที่สุดเขาก็ยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดไปนั้นไม่ถูกต้อง จึงให้เงินคืนในส่วนหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน การยอมรับของฉันช่วยผลักดันตัวฉันเองให้ค้นคว้าหาแบบการเรียนการสอนที่เฉพาะเจาะจงเพื่อเด็กพิเศษ แล้วก็ได้เจอระบบการสอนแบบตัวต่อตัว ฉันฝึกฝนวิธีการสอนในตอนดึก เช้ามาก็เริ่มสอนลูก การเลือกหัวข้อที่จะนำมาสอนนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี ฉันต้องนั่งนิ่งๆปิดตาแล้วนึกภาพลูกมองว่าเขากำลังทำอะไร แล้วนึกอีกทีในสภาวะเดียวกันแต่จริงๆแล้วฉันอยากให้ลูกทำอะไร พอนึกได้แล้วฉันก็จดใส่กระดาษ แล้วนั่งวิเคราะห์ว่าจุดไหนควรจะเริ่มเป็นอย่างแรกแล้วอะไรถัดมา เป็นลำดับๆไป พูดได้เลยว่าต้องใช้ความใจเย็นอย่างสูง ใครก็ตามที่กำลังอ่านบทความนี้และตกอยู่ในสภาวะที่คล้ายคลืงกันกับกรณีของฉัน ฉันขอเป็นกำลังใจให้อย่างที่สุด ยากลำบากอย่างไรเราจะเดินไปด้วยกันตั้งแต่ต้นจนจบ
ติดตามเรื่องราวในปัจจุบันและรับข้อมูลเพิ่มเติมกันได้ที่ Facebook
ติดตามเรื่องราวกันต่อที่ Facebook
No comments:
Post a Comment